การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2024 เกมในกลุ่มซี ทีมชาติเดนมาร์ก พบกับ เซอร์เบีย แข่งขันที่สนาม มิวนิก ฟุตบอล อารีนา (อัลลิอันซ์ อารีนา) เมืองมิวนิก

สำหรับคู่นี้ เจอกันมาทั้งหมด 3 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2006 ที่เซอร์เบียแยกดินแดนและเริ่มลงแข่งภายใต้ชื่อนี้ ซึ่งผลเป็นเดนมาร์กชนะทั้ง 3 นัด ครั้งล่าสุดพบกันในเกมกระชับมิตรเมื่อเดือนมีนาคม 2022 เดนมาร์กเปิดบ้านชนะ 3-0

สถานการณ์หลังผ่านมา 2 นัดเท่ากัน เดนมาร์กเสมอ 2 นัด มีอยู่ 2 คะแนน ยึดรองจ่าฝูง จากการเสมอสโลวีเนีย 1-1 และเสมออังกฤษ 1-1 ขอแค่ไม่แพ้เกมนี้จะเข้ารอบทันที ส่วนเซอร์เบียเสมอ 1 แพ้ 1 มีอยู่ 1 คะแนน อยู่อันดับ 4 จากการแพ้อังกฤษ 0-1 และเสมอสโลวีเนีย 1-1 ต้องชนะสถานเดียวเท่านั้นจึงจะได้เข้ารอบต่อไป

ส่วน 11 ผู้เล่นของทั้งสองทีมในเกมนี้ เดนมาร์ก ประกอบด้วย แคสเปอร์ ชไมเคิล, โยอาคิม แอนเดอร์เซน, แอนเดรียส คริสเตนเซน, แยนนิก เวสเตอร์การ์ด, อเล็กแซนเดอร์ บาห์, มอร์เตน ยูลแมนด์, ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบียร์ก, โยอาคิม เมห์เล, คริสเตียน อีริกเซน, โยนาส วินด์ และ ราสมุส ฮอยลุนด์

ด้าน เซอร์เบีย ประกอบด้วย เปรดรัก รายโควิช, สตราฮินยา พาฟโลวิช, นิโคลา มิเลนโควิช, มิลอส เวลจ์โควิช, อันดริยา ซิฟโควิช, เนมันยา กูเดลจ์, อิวาน อิลิช, เซอร์ยาน มิไยโลวิช, ซาซา ลูคิช, ลาซาร์ วูยาดิน ซามาร์ชิช, อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช

15 นาทีแรกของเกมทั้งสองทีมสู้กันได้อย่างสูสี โดยที่เดนมาร์กครองบอลได้มากกว่าเพียงเล็กน้อย ในขณะที่จังหวะสุดท้ายของทั้งคู่ยังไม่จะแจ้งพอในการลุ้นประตู

นาทีที่ 21 เดนมาร์กมีจังหวะได้ลุ้นประตู จากลูกยิงของ คริสเตียน อีริกเซน บอลเฉี่ยวเสาประตูออกไปเพียงนิดเดียว

จากนั้นนาทีที่ 31 เป็นโอกาสของ ราสมุส ฮอยลุนด์ กองหน้าวัย21 ปี ได้ส่องบ้าง แต่ เปรดรัก รายโควิช ผู้รักษาประตูของเซอร์เบียยังล้มตัวรับบอลไว้ได้

เดนมาร์ก ยังคงประสานงานทำเกมใส่เซอร์เบียเรื่อยๆ ก่อนจะมีจังหวะได้ลุ้นอีกครั้งจาก โยนาส วินด์ ได้ยิงในกรอบเขตโทษแต่บอลเหินข้ามคานออกไป

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีทีมใดทำประตูได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0

ครึ่งหลังเซอร์เบียดูเปิดเกมรุกสู้มากกว่าในครึ่งแรก แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่เฉียบคมพอ ในขณะที่เดนมาร์กก็เล่นในเกมของตัวเองไม่เร่งรีบและรอจังหวะเข้าทำ

นาทีที่ 53 ผู้เล่นเซอร์เบียจัดบอลจากกลางสนาม และเป็น ดูซาน ทาดิช จ่ายบอลให้กับ ลูกา โยวิช บอลไปค้างอยู่หน้าปากประตูก่อนที่ โยอาคิม แอนเดอร์เซน พยายามจะเข้าสกัดแต่บอลเข้าประตูไป

อย่างไรก็ตามจังหวะนี้ ผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้าว่า โยวิช ล้ำหน้าไปก่อนแล้ว ก่อนที่วีเออาร์มายืนยันอีกครั้ง เซอร์เบียอดได้ประตูออกนำ

นาทีที่ 64 เดนมาร์กได้ลุ้นบ้าง จากจังหวะเตะมุม โดยเป็น แยนนิก เวสเตอร์การ์ด ได้โอกาสขึ้นโหม่ง แต่ไปเข้ามือของ รายโควิช

ช่วงครึ่งชั่วโมงท้ายของเกมทั้งสองทีมพยายามเดินหน้าเพื่อทำสกอร์ แต่เกมรับของทั้งสองฝ่ายยังไม่พลาด ทำให้ไม่สามารถทำอะไรกันได้ จบเกม 90 นาที เสมอกันไป 0-0

กลุ่มนี้เมื่อจบ 3 นัด อังกฤษเก็บไป 5 คะแนน คว้าแชมป์กลุ่มและเข้ารอบไปรอพบทีมอันดับ 3 จากกลุ่มดี/อี/เอฟ ทีมใดทีมหนึ่ง

ขณะที่เซอร์เบียมี 2 คะแนน จบอันดับ 4 และตกรอบ ตรงนี้ไม่มีปัญหาอะไร

แต่ปัญหาอยู่ที่เดนมาร์กกับสโลวีเนีย ซึ่งทั้งคู่มี 3 คะแนนเท่ากัน, เฮดทูเฮดเสมอกัน, ประตูได้ 2 และประตูเสีย 2 เท่ากัน แถมเมื่อวัดมาถึงเกณฑ์ข้อรองสุดท้ายอย่างคะแนนแฟร์เพลย์ นักเตะของทั้ง 2 ทีมก็ดันมาได้ใบเหลืองรวม 6 ใบเท่ากันอีก

อย่างไรก็ตาม กรณีของสโลวีเนียนั้นยังมีใบเหลืองเพิ่มอีก 1 ใบ จากตอนที่ มิลิโวเย โนวาโควิช ผู้อำนวยการเทคนิคของทีม ได้รับในแมตช์แรกที่เสมอกับเดนมาร์ก 1-1 ซึ่งถือเป็นแต้มลบด้วย ทำให้เดนมาร์กแต้มพฤติกรรมในสนาม -6 ส่วนสโลวีเนีย -7 เดนมาร์กจึงได้รองแชมป์กลุ่ม สโลวีเนียจบอันดับ 3

ทั้งนี้ หากใบเหลืองของทั้ง 2 ทีมยังเท่ากัน การจัดอันดับก็จะไปใช้เกณฑ์ข้อสุดท้ายจริงๆ นั่นคือ พิจารณาจากอันดับตามผลงานรอบคัดเลือกสู่ยูโรหนนี้ ซึ่งปรากฏว่าเดนมาร์กได้อันดับ 9 ส่วนสโลวีเนียได้อันดับ 15 เดนมาร์กก็ยังคงเป็นรองแชมป์กลุ่มอยู่ดี

เดนมาร์กผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปเจอกับเยอรมนี แชมป์กลุ่มเอ ส่วนสโลวีเนียได้เข้ารอบด้วยโควตาทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด โดยจะไปเจอโปรตุเกสหรือทีมแชมป์กลุ่มอี รายใดรายหนึ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน