ปาดน้ำตาหลังได้ประกัน ป้าแต๋นยกฟ้องทุกข้อหา แม่น้องยื่นอุทธรณ์ต่อ ขอให้ลงโทษ‘เจตนาฆ่า’ ตร.เปิด8หลักฐานน็อก

จำคุก‘ลุงพล’ 20 ปี กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้น้องชมพู่เสียชีวิต และพรากผู้เยาว์ ส่วนป้าแต๋นรอดศาลยกฟ้อง เจ้าตัวเครียดถึงพูดไม่ออก ใช้หลักทรัพย์ 6.5 แสน ประกันตัวลั่นขอสู้คดีต่อ ศาลมุกดาหารพิพากษาชี้พิรุธคำให้การ เส้นผมน้องชมพู่มัด แม่ชมพู่ถือรูปร่ำไห้กอดขอบคุณพยานปากเอก เผยพอได้ยินศาลตัดสินว่าผิดทำหัวใจพอง เปิดใจตร.ชุดคลี่คลายคดี ยันการสอบสวนไม่ได้พุ่งเป้าที่ใครยึดตามพยานหลักฐาน

ลุงพล-ป้าแต๋นถึงศาล
เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 20 ธ.ค. ที่ ศาลจังหวัดมุกดาหาร นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ได้มาถึงบริเวณศาล พร้อมกับนายสุรชัย ชินชัย ทีมทนายความส่วนตัว โดยสวมใส่เสื้อสูทสีกรมท่า ขณะที่ป้าแต๋นสวมใส่เสื้อสีขาว

ต่อมาเวลา 09.42 น. นายอนามัย วงศ์ศรีชา และ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา พ่อแม่น้องชมพู่ ก็เดินทางมาถึงที่ศาลจังหวัดมุกดาหารด้วยเช่นกัน โดยแม่น้องชมพู่ได้เปิดกระจกรถแล้วสวัสดีสื่อมวลชน พร้อมกับยิ้มทักทายก่อนจะเข้าไปที่ศาล โดยลุงพลกับป้าแต๋นได้เดินทางเข้าไปด้านในก่อน จากนั้นครอบครัวของน้องชมพู่ก็เดินเข้าไปทีหลัง สังเกตได้ว่ามีการหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ทั้งนี้นายวิริยะ พงษ์อาจหาญ (อุ๊บ วิริยะ) หนึ่งในผู้ที่เคยสนับสนุนลุงพลก่อนแยกตัวไปก็เดินทางมาลุ้นการตัดสินคดีที่ศาลด้วย

แฟนคลับลุงพลหวิดวิวาทกับกองเชียร์อีกฝ่ายที่หน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.

หวิดวุ่นก่อนฟังคำพิพากษา
ต่อมาเวลา 10.00 น. เกิดเหตุชุลมุนที่บริเวณด้านหน้าศาล หลังจากที่ นายชัยรัตน์ ยอดพรหม หรือ ปู่มหามุนี ได้นำดอกไม้ลักษณะคล้ายกับพวงหรีด และมีข้อความที่ “ให้กำลังใจลุงพลป้าแต๋น” จึงทำให้มีทีมงานของลุงพลเห็นดอกไม้ลักษณะนี้ จึงเกิดความไม่พอใจ เดินมาดึงป้ายออก แล้วนำไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

มีแฟนคลับของลุงพลเข้ามาต่อว่ามีการปะทะคารมกัน นายชัยรัตน์ จึงนำไม้ยาวขึ้นมาปกป้องตัวเองด้วย เกิดเหตุชุลมุนขึ้น นักข่าวจึงพยายามแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน ก่อนจะสงบลงในเวลาต่อมา

ศาลตัดสินคุก 20 ปี
ต่อมาเมื่อเวลา 12.35 น. ศาลพิพากษาว่า นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาปราศจากเหตุอันควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น จำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1 ชำระสินไหมทดแทนทางแพ่ง ให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง คือพ่อ-แม่น้องชมพู่ เป็นเงินคนละ 1,100,000 บาท

ภายหลังศาลอ่อนคำพิพากษาสิ้นสุดลง นายอนามัย วงศ์ศรีชา และ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา พ่อแม่น้องชมพู่ ที่ยืนกอดรูปน้องชมพู่อยู่ ได้โผเข้ากอดนายวัชรินทร์ กงแก่นท้าว หรือ พ่อแบม พยานปากสำคัญ ที่เห็นลุงพลอยู่ในสวนยางในวันที่น้องชมพู่หายตัวเองไป ก่อนจะขอบคุณและร้องไห้ออกมา

นางสาวิตรีกล่าวทั้งน้ำตาว่าขอบคุณพ่อแบมมากที่ช่วยยืนยันข้อเท็จจริง เนื่องจากไม่เคยเป็นพยานที่ให้เงินเลยช่วยกันมาไม่เคยกลับคำให้การ โดยที่เราเองก็ไม่ได้ร้องขอ ถือว่าเป็นพยานที่สำคัญมากๆ ทำให้คดีนี้มาถึงวันนี้ได้ ตนรู้สึกตื้นตันในสิ่งที่ชาวบ้านทำให้เด็กคนหนึ่ง น้องตายโดยไม่มีใครรู้ใครเห็น ถ้าไม่มีพยานเห็น ไม่รู้คดีนี้จะจับคนร้ายได้ไหม

วันนี้ ตนนำรูปน้องมาด้วย จริงแล้วเอามาตั้งแต่เมื่อวานแต่ไม่ได้เอาออกมา ได้แต่บอกน้องว่า “อยู่ในรถก่อน ข้างนอกอันตรายมาก” พอศาลสั่งจับคนร้ายแล้วจึงเอาออกมา วินาทีที่ศาลอ่านปวดหัวใจและลุ้นมาก ตอนที่ศาลท่านพูดว่า เชื่อได้ว่า.. จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำ ทำให้หัวใจฟู หัวใจพอง เชื่อว่าคดีนี้จะได้ตัวคนร้ายแน่นอน ส่วนที่คำพิพากษาออกมา แล้วปรากฏว่า เป็น นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล สามีของ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น พี่สาวของตนนั้น ที่เป็นคนใกล้ตัว สำหรับความรู้สึกมันหมดไปตั้งแต่ปี 63 แล้ว

คุก 20 ปี – ‘ลุงพล’ นายไชย์พล วิภา ถูกศาลมุกดาหารตัดสิน จำคุก 20 ปีคดีน้องชมพู่ ปาดน้ำตาแถลงหลังได้ประกันตัว ขณะที่แม่ชมพู่ร่ำไห้หลังรับทราบคำพิพากษา พร้อมระบุจะเดินหน้าอุทธรณ์เพื่อเอาผิดจำเลยฐานเจตนาฆ่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.

เปิดคำพิพากษาเอาผิดลุงพล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำพิพากษาที่ตัดสินเอาผิดลุงพลใน 2 ข้อหาระบุว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า บริเวณที่พบศพเด็กหญิงอรวรรณผู้ตายอยู่บนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากจุดที่มีคนพบเห็นผู้ตายครั้งสุดท้ายประมาณ 1.5 กิโลเมตร และเป็นทางลาดชัน ประกอบกับบริเวณ ดังกล่าวมีการตรวจพบเส้นผมผู้ตายหลายเส้นที่มีลักษณะถูกตัดด้วยของแข็งมีคม จึงเชื่อว่า ผู้ตายซึ่งมีอายุเพียง 3 ขวบเศษ ไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงบริเวณที่พบศพและใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมของตนเองได้ แต่ต้องมีคนร้ายพาผู้ตายไป

ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายหรือไม่ เห็นว่า ประการแรก ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ผู้ตายเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านพักและมีเด็กหญิง ก. พี่สาวผู้ตายนอนเล่นโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ใกล้เคียง กระทั่งเวลาประมาณ 9.50 นาฬิกา เด็กหญิง ก. มองหาผู้ตายไม่เห็นจึงออกตามหา ดังนั้น ผู้ตายต้องหายตัวไป ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โดยเด็กหญิง ก. เบิกความว่าไม่ได้ยินเสียงผู้ตายร้องแต่อย่างใด เชื่อว่า คนร้ายที่พาผู้ตายไป ต้องเป็นญาติหรือบุคคลใกล้ชิดในหมู่บ้านที่ผู้ตายรู้จักดี เจ้าพนักงานตำรวจจึงสืบสวนกลุ่มบุคคลดังกล่าว 14 คน แบ่งเป็นญาติ 12 คน และบุคคลใกล้ชิด 2 คน พบว่า 13 คน มีหลักฐานยืนยันที่อยู่หรือตำแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ชัดเจน ยกเว้นจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่สามารถยืนยันหลักฐานที่อยู่ได้แน่ชัด

ประการที่สอง จำเลยที่ 1 ให้การเป็นข้อพิรุธหลายอย่าง อาทิ ให้การกับเจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนว่า วันเกิดเหตุ มีนัดไปรับพระ ส. ที่วัดถ้ำภูผาแอก ขณะเดินทางไปวัด จำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งว่า ผู้ตายหายตัวไปแต่ครอบครัวของจำเลยทั้งสองมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงเครื่องเดียวอยู่กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จำเลยที่ 2 จะโทรศัพท์แจ้งเรื่องแก่จำเลยที่ 1 อีกทั้งพระ บ. ซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดถ้ำภูผาแอกเช่นกันยืนยันว่า วันดังกล่าว เวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา จำเลยที่ 1 เดินทางไปถึงวัดและพูดกับพระ บ. ว่า หลานหายเกือบไม่ได้ไปส่งพระ ทั้งที่ในขณะนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตัวต้องยังไม่ทราบเหตุว่า ผู้ตายหายตัวไป

ประการที่สาม พยานโจทก์ปากนาย ว. และนาง พ. ให้การในชั้นสอบสวนว่า พยานเห็นจำเลยที่ 1 อยู่บริเวณสวนยางพาราซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทำความผิด โดยขณะที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ จำเลยที่ 1 พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. ให้ นาย ว. บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่า พบจำเลยที่ 1 ในช่วงเวลา 7.00 นาฬิกา ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ จึงเป็นข้อพิรุธว่า หากไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดต้องพูดจาในลักษณะดังกล่าวกับพยานที่ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น แม้ต่อมาในขณะสืบพยาน นาง พ. จะเบิกความว่า ไม่ได้เห็นจำเลยที่ 1 บริเวณสวนยางพารา แต่ก็เป็นการกลับคำภายหลังเกิดเหตุกว่า 2 ปี ซึ่งอาจทำเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 คำให้การในชั้นสอบสวนของนาง พ. จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่า

เส้นผมน้องชมพู่หลักฐานมัดตัว
ประการสุดท้าย ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจตั้งข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย จึงมีการเข้าตรวจค้นรถยนต์จำเลยที่ 1 พบเส้นผม 16 เส้น และวัตถุพยานอื่น โดยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญปรากฏว่า เส้นผม 1 เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์จำเลยที่ 1 มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้างตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย 2 เส้น ซึ่งตรวจเก็บได้จากบริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง 3 เส้น ดังกล่าวจึงถูกตัดในคราวเดียวกัน ด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน เชื่อว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมผู้ตาย แต่ด้วยเหตุที่เส้นผม มีขนาดเล็กมาก จำเลยที่ 1 จึงไม่สังเกตว่ามีเส้นผมผู้ตายเส้นหนึ่งตกอยู่ในรถยนต์ของตน

ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า ขณะพา ผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ จำเลยที่ 1 รู้หรือไม่ว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมทั้งสองหรือผู้ตายมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทอดทิ้งผู้ตาย ประกอบกับรายงานการตรวจศพผู้ตายพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผากด้านซ้ายและท้ายทอยเป็นจ้ำๆ จึงอาจเป็นกรณีที่ผู้ตายหมดสติไป ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตรวจดูให้ดีเลยพาผู้ตายไปทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ยกฟ้องป้าแต๋น
ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพนั้น เห็นว่า ภายหลังวันเกิดเหตุจนถึงวันที่พบศพผู้ตาย โจทก์ไม่มีพยานคนใดเบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ แม้ผลการตรวจเส้นผม 3 เส้น จากบริเวณที่พบศพผู้ตายมี mtDNA ตรงกับจำเลยที่ 2 แต่การตรวจหา mtDNA นั้น ไม่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ เพียงแต่ระบุได้ว่าเป็นเส้นผมของบุคคลที่อยู่ในสายมารดาเดียวกับผู้ตายเท่านั้น เส้นผมดังกล่าวจึงไม่จำต้องเป็นของจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียว เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสองในข้อหานี้

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง อนึ่ง คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 เห็นควรพิพากษายกฟ้อง จึงให้รวมไว้ในสำนวน ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11 (1)

เปิดใจตร.ชุดคลี่คลายคดี
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น. หนึ่งในคณะทำงานชุดคลี่คลายคดีน้องชมพู่ เปิดเผยภายหลังศาลตัดสินว่า ก่อนอื่นต้องขอบคุณศาลที่ตัดสินด้วยความเป็นธรรม และขอให้เครดิตท่าน พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีตผบ.ตร. ที่ให้ความสนใจและลงมาติดตามคดีด้วยตนเอง พร้อมทั้งระดมกำลังชุดสืบสวนจากทั่วประเทศมากฝีมือมาอยู่ที่กกกอก ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4 พร้อมทั้ง พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐ. / พล.ต.ต.ชัชชัย วงค์สุนะ ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร และ พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รอง ผบก.ป. บช.ก. / พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1 รวมถึงทีมงานนักสืบทุกคน สถาบันนิติเวชโรงพยาบาล กองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งในขณะนั้นได้รับผิดชอบคดีดังกล่าวและทุกคนทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ

พล.ต.ต.นพศิลป์ยืนยันว่าตลอดสามปีที่ผ่านมากระบวนการทำงานของตำรวจชุดสืบสวนนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งว่าเป็นผู้กระทำความผิด แต่ยึดจากพยานหลักฐานที่พบเจอเป็นจุดสำคัญจนนำไปสู่การเจอตัวผู้กระทำผิด ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญได้ทั้งหมด 8 ข้อดังนี้ 1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง 2.พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไปไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ 3.ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่าเด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น 4.กรณีศึกษาการหลงป่าของชาวบ้านกกตูมชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว 5.แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้ 6.สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพู่ยืนยันว่าน้องชมพูไม่สามารถถอดเสื้อเองได้ 7.พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่นและ8.นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมาของน้องชมไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง

ซึ่งคำตัดสินวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์การทำงานของชุดคลี่คลายคดีที่อดหลับอดนอน ปีนเขากับ 8 ลูก 9 ลูก กันมานานกว่า 3-4 เดือน ในการหาพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนร้ายได้รับการลงโทษกับสิ่งที่กระทำต่อเด็กที่อายุเพียงแค่ 3 ขวบ ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสืบสวน การสอบสวน รวมถึงการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดนำส่งศาลเพื่อสืบพยานในชั้นศาล

ยื่นอุทธรณ์ข้อหาเจตนาฆ่า
ต่อมาเวลา 14.00 น. นายอนามัยและนางสาวิตรี พ่อแม่น้องชมพู่ พร้อมด้วยนายพิสิษฐ์ ตรัยเจริญเมธากุล และนายจักรวาล อัครวิศาลหิรัญ ทีมทนายความส่วนตัว แถลงข่าว หลังจากที่ศาลพิพากษา

นางสาวิตรีกล่าวว่า ตอนเช้าตื่นเต้นแต่พอได้รู้ผลยอมรับว่าพอใจ จริงๆ แล้วความตั้งใจของแม่อยากรู้ว่ามีคนทำให้น้องตายคือใคร พอได้รู้ผลตรงนี้แล้วก็ถือว่าพอใจแม้ว่าศาลจะตัดสินออกมาไม่ตรงกับคำฟ้องของอัยการ แต่คดีนี้คนร้าย ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ยอมรับว่าพอศาลตัดสินลงโทษจำเลยรู้สึกตื่นเต้นและยังไม่ได้คิดอะไรที่เป็นรายละเอียดนอกเหนือจากนี้ในคดี อยากขอบคุณศาลมุกดาหาร ขอบคุณกระบวนการยุติธรรม ขอบคุณตำรวจ ขอบคุณเพื่อนๆ ชาวบ้านทุกคนที่ให้กำลังใจ

ขณะที่ทนายความระบุว่า เคารพคำวินิจฉัยของผู้พิพากษา แต่เตรียมใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ไปยังศาลอุทธรณ์ต่อไป ทุกข้อหาที่ฟ้องไปเบื้องต้นจะยื่นอุทธรณ์ทั้งหมด

ศาลให้ประกันตัวลุงพล
ล่าสุดศาลจังหวัดมุกดาหาร อนุญาตให้ประกันตัวลุงพล โดยตั้งวงเงิน 5 แสนบาท โดยลุงพลใช้โฉนดที่ดินยื่นประกันในวงเงิน 6.5 แสนบาทประกันตัวออกมา ก่อนทั้งลุงพลและป้าแต๋นเปิดแถลงข่าว ที่โรงแรมริเวอร์ฟรอนต์ ริมโขง จ.มุกดาหาร โดยลุงพลมีสีหน้าเคร่งเครียด ผิดกับป้าแต๋น ที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมพูดเปรยสั้นๆ ระหว่างลงรถว่า “ไม่เป็นไร เรายังมีก๊อกสอง” ซึ่งก่อนการแถลงข่าวมีเอฟซีของลุงพล หอบช่อดอกไม้มามอบให้ เพื่อเป็นกำลังใจจำนวนมาก

ลุงพลเปิดเผยความรู้สึกเพียงสั้นๆ เนื่องจากยังพูดไม่ออก และมีท่าทีจะร้องไห้ว่า ตนน้อมรับคำตัดสินของศาลชั้นต้น ได้รับทราบคำสั่งเรียบร้อย ซึ่งต่อไปก็เป็นหน้าที่ของทีมทนายอธิบายแทน พร้อมขอขอบคุณ เอฟซี ทุกคนที่ให้กำลังใจ

ด้าน ป้าแต๋น กล่าวว่า ขอบคุณเอฟซี ทุกคนที่คอยติดตาม และให้กำลังใจ ตนเชื่อว่า เอฟซีทุกคนรู้ว่ากระบวนการยังไม่จบ ยังมีอีก 2-3 ศาลให้ต่อสู้ แต่วันนี้ตนพร้อมน้อมรับผลคำตัดสินของศาล แต่จะขอสู้ต่อในชั้นอุธรณ์ต่อไป” เมื่อถามว่าป้าแต๋นอยากจะพูดอะไรตอบโต้หรือไม่ หลังก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์หลังศาลตัดสินในวันนี้ เจ้าตัวตอบว่า รอให้ถึงศาลฎีกาก่อน แล้วจะพูดตอบโต้”

ขณะที่นายสุรชัย ชินชัย ทนายความ ระบุว่า จำเลยของตนเคารพและน้อมรับคำพิพากษาของศาล และขอบคุณศาลท่าน ที่อนุญาต-เมตตาปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการต่อสู้คดี ซึ่งในคดีนี้ศาลมีดุลพินิจตัดสินแล้วว่าลุงพลผิดใน 2 กระทง มีโทษจำคุก 20 ปี หลังจากนี้ทีมทนายที่จะเขียนคำอุทธรณ์ เพื่อยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน ซึ่งในครั้งต่อไปจะเป็นศาลอุทธรณ์ภาค 4 จังหวัดขอนแก่น คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 ปี โดยทิ้งท้ายว่า “ลุงพลไม่มีจิตใจโหดร้ายที่จะฆ่าเด็ก วันนี้เป็นการแพ้ในยกที่ 1 แต่ไม่ได้แพ้น็อก“

อย่างไรก็ตาม การประกันตัวลุงพล ศาลไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ ส่วนในวันพรุ่งนี้จะมีพิธีผูกแขนบายศรีสู่ขวัญใสช่วง 09.00 น. ที่วังปู่ปาริจิต – นาลุงพลป้าแต๋น จังหวัดสกลนคร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน